วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

เทคนิคการเพิ่มความเร็วเว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น

1. บีบอัดภาพให้ขนาดไฟล์เล็กลงที่สุด
ภาพต่างๆ ในเว็บไซต์ของคุณควรลดขนาดไฟล์ของภาพให้เล็กลง ให้มีขนาดเล็กที่สุด แต่ต้องคำนึงถึงคุณภาพของภาพด้วย ว่าควรยังมีคุณภาพที่ดีพอสำหรับการรับชมบนเว็บไซต์ (โปรแกรมตกแต่งภาพ ส่วนใหญ่จะมีฟังก์ชึ่นบีบอัดภาพให้มีขนาดเล็กลงมามากๆ โดยที่คุณภาพยังดีอยู่เหมือนเดิม)

2. ใช้ภาพขนาดเล็ก (Thumb Nail)
หากคุณมีภาพขนาดใหญ่ให้ สร้างไฟล์ภาพขนาดเล็ก (Thumb Nail) มาแสดงในเว็บ เพื่อการโหลดเร็วที่สุดของหน้าเว็บไซต์ของคุณ และเมื่อมีการคลิกที่ภาพขนาดเล็กให้ลิงค์ไปยังภาพขนาดใหญ่ หลายคนมักใช้ภาพขนาดใหญ่มาบีบให้เล็กลง แต่ขนาดไฟล์ของภาพยังมีขนาดใหญ่เหมือนเดิม ซึ่งจะทำให้ใช้เวลาโหลดภาพนี้นานเท่ากับโหลดภาพใหญ่ๆ ซึ่งจะทำให้หน้าเว็บไซต์หน้านั้นโหลดได้ช้าลง หรือหากเว็บไซต์คุณมีภาพขนาดใหญ่มาก อาจจะตัดภาพใหญ่ออกเป็นหลายๆ ไฟล์ แล้วนำมาประกอบกันเป็นภาพเดียว เพื่อแบ่งการโหลดภาพให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น

3. หลีกเลี่ยงภาพอนิเมชั่น หากไม่จำเป็น
ภาพอนิเมชั่น ซึ่งอาจจะเป็น Gif หรือ Flash อาจจะเป็นสิ่งที่ดูน่าสนใจ ดูตื่นตาตื่นใจ แต่ถ้าหากคุณเลือกใช้ภาพที่มีขนาดไฟล์ใหญ่ จนเกินไปจะทำให้หน้าเว็บไซต์ของคุณโหลดช้ามากขึ้น

4. จัดการไฟล์ภาพที่ดี
ผมมักเจอหลายๆ เว็บไซต์ที่มักจะ มีการใช้ภาพเดิมในหลายๆ หน้าในเว็บไซต์ แต่ภาพเดิมๆ ที่ใช้นั้น กลับกลายเป็นภาพคนละชื่อไฟล์กัน (ทั้งๆ ที่เป็นภาพเดียวกัน) และเก็บไว้คนละที่กัน ซึ่งทำให้ทุกครั้งที่มีการเปิดหน้ามา บราวเซอร์ต้องทำการโหลดภาพนั้นมาใหม่ทุกครั้ง แต่หากคุณเลือกใช้ไฟล์ภาพที่เป็นชื่อไฟล์เดียวกัน และเก็บไว้ที่เดียวกัน เมื่อมีการเรียกไฟล์ภาพที่เปิดไปแล้วอีกครั้ง บราวเซอร์จะทำสามารถโหลดภาพที่เคยเรียกมาแล้วได้ทันที โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปโหลดภาพนั้นมาอีกครั้ง

5. วางแผนการใช้ ตาราง (Table) ให้ดี
หลายๆ เว็บไซต์มักนิยมใช้ ตาราง (Table) ในการจัดทำเว็บไซต์ ซึ่งหากออกแบบหรือวางรูปแบบของตารางผิด อาจจะทำให้เว็บไซต์ของคุณช้ามากๆ เลย หลีกเลี่ยงการใส่ข้อมูลของเว็บไซต์ทั้งหมดไว้ใน ตารางเดียวกันคลุมทั้งเว็บไซต์ เพราะ บราวเซอร์จะไม่แสดงผลของข้อมูลจนกว่าจะโหลดข้อมูลใน ตารางออกมาจนครบก่อน ดังนั้นคุณควรแบ่งตารางออกเป็นหลายๆ ส่วนเพื่อให้ข้อมูลสามารถแบ่งการโหลดออกมาให้แสดงผลออกมาเป็นส่วนๆ ได้เช่น ส่วนหัว (Header) ส่วนกลาง (Middle) และส่วนท้าย (Footer) ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์สามารถแสดงผลได้รวดเร็วมากขึ้น
ตอนนี้คุณอาจเลือกใช้เทคนิค CSS (Cascading Style Sheets) มาใช้ในการวางข้อมูลได้เหมือนกับการใช้ตารางได้ด้วย ซึ่งจะทำให้ข้อมูลในเว็บไซต์คุณสามารถโหลดได้รวดเร็วมากขึ้น

6. ใช้สไตล์ชีท (CCS) ในการควบคุมตัวอักษรในเว็บไซต์
การนำสไตล์ชีท (CCS) มาใช้ในเว็บไซต์ จะทำให้โค๊ดในการเขียนเว็บไซต์มีจำนวนที่ลดลง ซึ่งจะทำให้การโหลดของหน้าเว็บไซต์ รวดเร็วขึ้นได้มาก

แม่ “แอนนี่ บรู๊ค” วอนสังคมเห็นใจลูกสาว รับหน้าหลานเหมือน “ฟิล์ม” มาก

แม่ “แอนนี่ บรู๊ค” วอนสังคมเห็นใจลูกสาว ย้ำยังไงก็รักหลานชาย ยอมรับไม่รู้จัก “ฟิล์ม-รัฐภูมิ” แค่เคยเห็นในละคร แต่หน้าหลานเหมือน “ฟิล์ม” มาก

หลังดาราสาวแอนนี่ บรู๊ค ตกเป็นเป็นข่าวใหญ่ที่ไปมีสัมพันธ์กับพระเอกหนุ่ม ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ จนแอนนี่คลอดลูกชายมาได้ 3 เดือน และเพิ่งยอมออกมาเปิดเผยว่าพ่อเด็กคือใคร

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเกิดของนักแสดงสาว แอนนี่ บรู๊ค ในท้องที่อำเภอแจ้ห่ม จ.ลำปาง และได้พบกับนางจันทร์คำ มีเลข อายุ 54 ปี ซึ่งเป็นแม่ของของนักแสดงสาวแอนนี่ บรู๊ค

แม่ของนักแสดงสาวได้เผยว่า ตนใช้ชีวิตอยู่กับบุตรสาวของตนเพียง 2 คนตามลำพัง หลังพ่อนักแสดงสาวหรือพ่อน้องแอนนี่เดินทางกลับต่างประเทศตั้งแต่น้องแอนนี่ อายุได้เพียง 3 เดือน คุณแม่ยังบอกอีกว่าน้องแอนนี่เป็นเด็กที่ขยันและมีความกตัญญู ช่วยหาเงินตั้งแต่เด็ก โดยจะออกไปรับจ้างทำงานทุกอย่างหาเลี้ยงครอบครัวและมีรายได้วันละ 50 บาท แล้วนำเงินมาให้ตน

น้องแอนนี่จะขอเงินไปโรงเรียนเพียงวันละ 5-10 บาทต่อวัน พอน้องแอนนี่โตได้เดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อไปทำงานและก็ได้ส่งเงินมาให้แม่เดือนละ 500 บาท และบุตรสาวตนก็ยังหาเงินมาสร้างบ้านหลังนี้ให้ตนเองอยู่ ส่วนตนขณะนี้ป่วยเป็นต่อมไทรอยด์เป็นพิษที่บริเวณลำคอ และเป็นโรคเครียด

ส่วนน้องแอนนี่ได้เดินทางกลับบ้านที่ลำปางเป็นครั้งคราวเพื่อมาเยี่ยมแม่และพาแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในตัวเมืองลำปาง โดยมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งกว่าหนึ่งหมื่นบาท โดยน้องแอนนี่ ก็ออกเงินค่ารักษาให้กับแม่ทั้งหมด

แม่แอนนี่บอกอีกว่า ตนเพิ่งมาทราบข่าวจากบุตรสาวว่าตั้งครรภ์ขณะที่อายุครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว แต่บุตรสาวตนไม่ได้บอกว่าท้องกับใคร หรือใครเป็นพ่อของเด็ก เพิ่งมาทราบข่าวจากทางสื่อมวลชนไม่กี่วันนี้ ส่วนตนนั้นก็ไม่เคยรู้จักดารา ฟิล์ม-รัฐภูมิ เป็นการส่วนตัว

“แต่หลานชายที่เกิดมานั้น หน้าตาเหมือนฟิล์มมาก”

เมื่อ 17 กันยายน 53 ตนได้ชมข่าวที่น้องแอนนี่ ออกอากาศรู้สึกสงสารลูกมากและวอนให้สังคมเห็นใจลูกสาวด้วย เพราะน้องแอนนี่เป็นเด็กดี

ขณะที่เรื่องใครเป็นพ่อของเด็กอยากให้มีการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอหรือ ไม่นั้น นางจันทร์คำ ผู้เป็นแม่นักแสดงสาวกล่าวว่า คงปล่อยให้บุตรสาวของตนตัดสินใจเองดีกว่า เพราะบุตรสาวตนก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ส่วนตนยังไงก็รักหลานชาย และอยากจะนำหลานชายมาเลี้ยงที่ลำปาง แต่ติดปัญหาที่ตนเองป่วยบ่อยครั้ง เกรงจะดูแลหลานชายไม่สะดวกนัก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

แอนนี่ บรู๊ค - เรื่องเด่นเย็นนี้ 1



ลือหึ่ง ฟิล์ม รัฐภูมิ ทำสาว แอนนี่ บรู๊ค ท้อง คลอดลูกชายวัย 3 เดือน

ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์

ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์

งานเข้าอย่างจัง! สำหรับนักร้องหนุ่ม “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ที่ตลอดทั้งวันนี้ (15 ก.ย.) มีกระแสข่าวลือหึ่งออกมาว่า ไปทำนักแสดงตัวประกอบคนหนึ่งอักษรย่อ “อ” ที่เคยร่วมงานกันในละครท้อง และฝ่ายหญิงก็ได้คลอดลูกแล้ว โดยลูกชายของนักร้องหนุ่มขณะนี้มีวัยเพียง 3 เดือนเท่านั้น!

แอนนี่ บรู๊ค

แอนนี่ บรู๊ค

เท่านั้นไม่พอยังมีข่าวลือหึ่งระลอกสองออก มาอีกว่า ตัวประกอบหญิงคนนั้นไม่ใช่คนอื่นคนไกล ที่แท้คืออดีตดาราสาวเซ็กซี่ “แอนนี่ บรู๊ค” ที่เคยรับบทเป็น “สุมณธา” ในละครเรื่อง “ปีศาจแสนกล” ที่มีหนุ่ม “ฟิล์ม” แสดง นำเป็นพระเอกนั่นเอง โดยว่ากันว่าทั้งคู่เกิดปิ๊งปั๊งกันในกองถ่าย และซุ่มคบหามีความสัมพันธ์กัน จนกระทั่งฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ และเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเธอก็ได้ถอนตัวเองออกจากการรับบท “กะหล่ำ” ในละครสั้นของรายการ “ชิงช้าสวรรค์” เนื่องจากท้องโตเริ่มเห็นได้ชัด

และสาเหตุที่ทำให้เรื่องปูดกลายเป็นข่าวเมาท์ลือไปทั่ววงการอยู่ในขณะนี้ ก็เนื่องจากช่วงที่ “แอนนี่” ตั้งท้องจนกระทั่งคลอดลูกที่โรงพยาบาล ได้รับเงินส่งเสียจาก “ฟิล์ม” ประมาณ 1.5 แสนบาท หลังคลอดลูกชายได้ 3 เดือนนักร้องหนุ่มก็ส่งเงินมาให้ใช้อีก 5 หมื่นบาท แต่พอลูกป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลกลับหายจ้อยไม่ช่วยเหลือ เมื่อไปทวงถามก็ได้รับการปฏิเสธ เรื่องจึงหลุดแดงออกมากลายเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้ และว่ากันว่า “แอนนี่” ยินดีให้พิสูจน์ท้า “ฟิล์ม” ตรวจดีเอ็นเอว่าเป็นลูกของนักร้องหนุ่มจริงหรือไม่

เพื่อเป็นการเคลียร์ประเด็นร้อนเรื่องนี้ ทาง ASTV บันเทิงผู้จัดการออนไลน์ได้พยายามต่อสายตรงไปหา “แอนนี่” แต่เจ้าตัวไม่ยอมรับสาย จึงทำให้ไม่ได้รับคำตอบ ด้านนักร้องหนุ่ม “ฟิล์ม” ทีแรกมีกระแสข่าวว่าจะจัดแถลงข่าวเรื่องนี้กับสื่อมวลชนในวันพรุ่งนี้ (16 ก.ย.) แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่กระแสข่าวเท่านั้น อาร์เอสยังคงเก็บตัวนักร้องหนุ่มเงียบไม่ยอมปล่อยออกมาให้ข่าวใดๆ

สำหรับ “แอนนี่ บรู๊ค” เป็นสาวลูกครึ่งไทย-สวิส แจ้งเกิดจากบทนางเอกในหนัง “เชอร์รี่แอน” และเคยเป็นแฟนสาวของดาราเสื้อแดงเลือดร้อน “เมธี อมรวุฒิกุล” ก่อนหน้านี้ “แอนนี่” เคยสร้างความฮือฮาด้วยการออกพ็อกเก็ตบุ๊กชื่อ “ผู้ชาย SEX ห่วย!!” และถ่ายหวิวโนลิมิตในอัลบั้ม “CLUB F” ส่วน “ฟิล์ม รัฐภูมิ” เคยสร้างเซอร์ไพร์สให้กับวงการ กรณีถูกเสี่ยพระเครื่องชื่อดัง “เสี่ยอู๊ด” แฉมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน ซึ่งนักร้องหนุ่มได้ปฏิเสธ แต่ยอมรับว่ารู้จักและ “เสี่ยอู๊ด” เป็น ผู้มีพระคุณกับเขา หลังผ่านมรสุมข่าวฉาวดังกล่าวมาได้ ล่าสุดเจ้าตัวได้ตกเป็นข่าวฉาวอีกครั้งเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งคงต้องรอฟังคำตอบจากปากของ “ฟิล์ม” กันว่า กรณีทับดาราสาว “แอนนี่” ท้องและมีลูกชายแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือเพียงแค่กระแสข่าวลือ?!?

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีการถนอมสายตาเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์

1.ควรเลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา วิธีทดสอบง่ายๆ ทำได้โดยลองปิดสวิตช์จอภาพ แล้วเอามือหรือแขนไปจ่อไว้ใกล้ๆ จอภาพให้มากที่สุด จอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่ผิว

2.ปรับแสงและความคมชัดของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา รวมทั้งความสว่างภายในที่ทำงาน ลดแสงสะท้อนรบกวน เช่น ปิดไฟดวงที่สะท้อนจ้าลงบนจอคอมพิวเตอร์ หากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้าและจอภาพมีความสว่างมาก ก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อดวงตาได้ง่ายและรวดเร็ว จะรู้สึกว่ามีอาการปวดร้าวดวงตาเร็วและแสบตาอย่างรุนแรง

3.ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาประมาณ 18-24 นิ้ว หรือประมาณช่วงแขนเอื้อม และปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา หากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย

4.การใช้แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แม้ว่าจะช่วยลดการกระจายรังสีจากจอคอมพิวเตอร์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วแต่คุณภาพของสินค้า แต่อย่างน้อยๆ ก็ช่วยลดแสงจ้าจากจอคอมพิวเตอร์ลงได้

5.ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการสะท้อนมากขึ้น

6.การหยุดพักหรือเปลี่ยนตารางเวลาการทำงานใหม่ จะช่วยให้สายตาคลายความเมื่อยล้าจากการจ้องเพ่งคอมพิวเตอร์ได้ The National Institute of Occupational Safety and Health (NIOSH) แนะนำให้หยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาทีทุกๆ 2 ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็แนะนำว่าควรจะหยุดพักบ่อยๆ โดยแต่ละครั้งใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เช่น พักสายตาทุก 30 นาที โดยหลับตาหรือมองไปไกลๆ สัก 5-10 นาที แล้วจึงเริ่มทำงานต่อไป ก็จะช่วยถนอมสายตาได้

7.อาจใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ วางไว้บนเปลือกตา และหลับตาสัก 2-3 นาที หรือจะให้ดีกว่านั้นก็คือ ปิดไฟ นอนพักสักครู่ (ถ้าไม่มีปัญหากับหัวหน้างาน)

8.สำหรับผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ อาจจะเกิดอาการตาแห้งเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง เพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ก็มักจะมีเครื่องปรับอากาศอยู่ด้วย เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำให้อากาศแห้ง การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยได้

9.ควรกะพริบตาให้บ่อยครั้งกว่าปกติ เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ ภายใน 10 วินาที ลองพยายามกะพริบตาสัก 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความอ่อนล้าของสายตาได้มาก

10.ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ และมีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ ควรตรวจเช็กสุขภาพตาบ้าง

9 ทริค…พ้นเหยื่อมิจฉาชีพ บัตรเครดิต-เอทีเอ็ม

รูปของบทความ 9 ทริค...พ้นเหยื่อมิจฉาชีพ บัตรเครดิต-เอทีเอ็ม

มิจฉาชีพที่ แฝงตัวมาในคราบบุคคลธรรมดา ทำให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อไม่ทันตั้งตัว เพื่อความไม่ประมาทจากการโจรกรรม จึงมีเทคนิคง่ายๆ ป้องกันภัยให้รอดจากเป้าหมายของมิจฉาชีพ ดังนี้

1. กระเป๋าสตางค์หายพึงระลึกเสมอว่า…บัตรเครดิตถูกขโมย ต้องแจ้งธนาคารทันทีเพื่ออายัดหรือยกเลิกบัตร ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นนำไปใช้ หากมีผู้นำบัตรของท่านไปใช้หลังจากท่านแจ้งธนาคารแล้ว ธนาคารจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บัญชีของท่าน ดังนั้นยิ่งแจ้งธนาคารเร็วเท่าไหร่ ความคุ้มครองก็จะเร็วขึ้นตามไปด้วย

2. ในขณะที่ใช้บัตรเครดิตหรือเอทีเอ็ม ไม่ควรให้ใครมองเห็นมือของเรา และตรวจสอบตู้ใช้ชัดเจนว่ามีเครื่องอ่านบัตรครอบอยู่หรือไม่ รวมถึงอย่ารับความช่วยเหลือจากใคร และหากรู้สึกว่าคนที่ยืนต่อคิวข้างหลังขยับเข้ามาชิดมากเกินไป ก็อย่างเกรงใจที่จะขอให้ช่วยถอยห่างออกไปหน่อย หลังทำรายการเสร็จ สิ้นควรเก็บสลิปไว้และทำลายในที่ปลอดภัย เพราะมิจฉาชีพบางรายมีความสามารถที่จะอ่านข้อมูลในสลิปเอทีเอเอ็ม เพื่อเจาะเข้าถึงข้อมูลและเงินในบัญชี

3. ป้องกันการขโมยข้อมูลและเอกสารจากการกรอกใบสมัครต่างๆ ด้วยการเขียนให้ชัดเจนว่าเอาไปใช้ประโยชน์หรือวัตถุประสงค์อะไร

4. หากได้รับโทรศัพท์จากคนที่ไม่รู้จักและแจ้งว่าได้รับรางวัลก้อนใหญ่ หรือเสนออะไรที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นเรื่องหลอกลวง หากถูกหลอกให้เปิดเผย ข้อมูลส่วนตัว ห้ามบอกข้อมูลส่วนตัวกับผู้มาติดต่อเด็ดขาด เพราะธนาคารทั่วไปไม่เคยมีการติดต่อลูกค้าทางโทรศัพท์ เพื่อแจ้งการถูกรางวัล หรือขอข้อมูลส่วนตัว

5. หากได้รับอีเมล แอบอ้างว่ามาจากธนาคารที่เปิดบัญชีไว้ ในกรณีนี้ อาจจะกำลังตกเป็นเหยื่อของอีเมลปลอม ซึ่งมักจะขอให้ยืนยันหมายเลขบัญชีและ รหัสส่วนตัว พึงระลึกไว้เสมอว่า รหัสส่วนตัวบัตร ใบแจ้งยอดบัญชี สลิปเอทีเอ็ม และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินของตนเอง ต้องไม่เปิดเผยให้ใครทราบ อีกทั้งหากได้รับอีเมล ต้องดูจากช่องเบราเซอร์ เวบไซต์ที่ปลอดภัยควรขึ้นต้นด้วย https://

6. การชำระเงินในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือร้านค้าต่างๆ หากจุดชำระเงินห่างจากจุดที่กำลังซื้อของหรือรับประทานอาหาร อาจเป็นไปได้ที่มิจฉาชีพจะแฝงมาในคราบพนักงาน ถือโอกาสคัดลอกข้อมูลบัตร เครดิต หรือเดบิตด้วยเครื่องอ่านบัตรแบบพกพา ดังนั้นจึงควรเดินตามพนักงาน หรือตรวจสอบจำนวนเงินที่ปรากฏบนสลิปบัตรเครดิตหรือเดบิตทุกครั้งก่อนเซ็น ชื่อ ขณะเดียวกัน ก็เลือกซื้อสินค้าเฉพาะกับร้านที่ใช้ระบบ Verified by Visa และ MasterCard Secure Code จึงจะปลอดภัยกว่า

7. ข้อมูลบัตรและรหัสส่วนตัวไม่ควรเปิดเผยให้ใครรู้แม้แต่คนในครอบครัว เพราะมิจฉาชีพอาจอยู่ใกล้ตัว และหมั่นตรวจสอบรายการทำธุรกิจที่ปรากฏในรายงานแจ้งยอดบัญชี หากไม่ได้เป็นผู้ทำธุรกรรมควรรีบแจ้งและพิสูจน์

8. เมื่อบัตรเอทีเอ็มถูกยึดไว้ในเครื่อง ต้องแจ้งให้ธนาคารทราบทันที เพื่อความปลอดภัย เพราะหากมีเครื่องอ่านบัตรของมิจฉาชีพติดตั้งไว้ในเอทีเอ็ม และมีการคัดลอกข้อมูลในบัตรรวมทั้งมีการทำบัตรปลอมขึ้นมา ธนาคารจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบความเสียหายให้หลังการแจ้ง

9. หากกำลังวางแผนไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ควรใช้จ่ายด้วยบัตรหลัก พร้อมกับแจ้งให้กับธนาคารผู้ออกบัตรทราบด้วยว่าต้องการใช้บัตรในต่างประเทศ เพื่อให้ธนาคารเฝ้าติดตามบัญชีของลูกค้าว่ามีรูปแบบการใช้จ่ายที่ผิดปกติ หรือมีพฤติกรรมที่ส่อว่ามีการทุจริตหรือไม่ เช่น การใช้จ่ายในต่างประเทศ หากมีการทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ธนาคารจะติดต่อลูกค้าเพื่อตรวจสอบว่าควรอนุมัติรายการนั้นหรือไม่ พร้อมกับติดตามดูธุรกรรมที่น่าสงสัย เช่น ซื้อสินค้าแบบเดียวกันหลายชิ้น หรือซื้อสินค้าจากคนละแห่งกับการเดินทาง หรือซื้อนอกเหนือจากวันเดินทาง

วิธีการล้างมือ 6 ขั้นตอนที่ถูกวิธี

วิธีการล้างมืออย่างถูกต้อง

วิธีการล้างมือ 6 ขั้นตอนที่ถูกวิธี การรักษาความสะอาด โดยเฉพาะหมั่นล้างมือฟอกถูทำความสะอาดด้วยสบู่ วิธีการล้างมือที่ถูกต้อง เป็นวิธีที่สามารถลดโอกาสการติดเชื้อของโรคระบาด

วิธีการล้างมืออย่างถูกต้อง
การรักษาความสะอาด โดยเฉพาะหมั่นล้างมือฟอกถูทำความสะอาดด้วยสบู่ เป็นวิธีที่สามารถลดโอกาสการติดเชื้อของโรคระบาด หรือโรคติดต่อ รวมทั้งในผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาความสะอาดเพื่อหลีกเลี่ยงการกำเริบของโรคจากฝุ่นละออง

‘ยืดเส้น ยืดสาย’ มีวิธีการล้างมือ 6 ขั้นตอน ที่ทางการแพทย์แนะนำให้ปฏิบัติตาม โดยหลังจากมือทั้งสองข้างผ่านน้ำ ถูสบู่ให้เกิดฟอง หรือกดสบู่เหลวแล้ว เริ่มขั้นตอนแรกด้วยการฟอกฝ่ามือและง่ามนิ้วมือด้านหน้า จากนั้นฟอกหลังมือและง่ามนิ้วมือด้านหลัง

ต่อมาฟอกนิ้วมือทีละนิ้วและง่ามนิ้วมือด้านหลัง แล้วจึงฟอกนิ้วหัวแม่มือโดยใช้มืออีกข้างกำแล้วครอบหมุนฟอกรอบนิ้วหัวแม่มือ

ขั้นตอนรองสุดท้าย ให้ฟอกปลายนิ้วมือ โดยใช้ฝ่ามืออีกข้างเป็นฐานสำหรับฟอกปลายนิ้ว จบด้วยการฟอกรอบข้อมือ แล้วจึงล้างสบู่ออกให้หมดจด

อย่างไรก็ตาม การล้างมือให้ถูกวิธี นอกจากจะเป็นการรักษาความสะอาด และลดการติดเชื้อโรคแล้ว ยังเป็นการผ่อนคลายความอ่อนล้าหรือความรู้สึกเครียดได้ในระดับหนึ่ง เพราะระหว่างการฟอกถูสบู่นั้น คุณผู้อ่านสามารถออกแรงกดเหมือนกับบีบนวดนิ้วและมือได้อีกด้วย.

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เกี่ยวกับ "แม่"

คนเราที่เกิดมาทุกคนในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่รู้จักคำว่า "แม่"

เพราะแม่เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้เลี้ยงเฝ้าดูแลเรามาตลอด เป็นผู้รักเรามากกว่าใคร ๆ ที่บอกว่ารักเรา

ไม่ว่าลูกจะทำผิดขนาดไหนแม่ก็ยังให้อภัยแก่ลูกเสมอ บางครั้งลูกทำผิด แม่โกรธ ดุด่า ว่าลูก

แต่แม่ก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายลูก ความรักมีหลายรูปแบบ เช่น ความรักของหนุ่มสาว ความรักต่อเพื่อน

ความรักต่อครู-อาจารย์ เป็นต้น แต่ความรักเหล่านี้อาจจะลืมเลือนไปได้โดยง่าย

เพราะมันไม่ใช่ความรักที่แท้จริง เปรียบไม่ได้กับความรักของแม่ที่มีต่อลูก

ซึ่งมีแต่ให้ไม่เคยคิดที่จะได้ตอบแทน คุณของ "แม่" นับว่าเป็นคุณที่ไม่อาจจะตอบแทนได้

นับเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ กว่าที่แม่จะคลอดเรามาแม่ก็ต้องอุ้มท้องเรามานานนับ 10 เดือน

โดยที่ไม่คิดว่าเป็นอุปสรรคต่อการอยู่ในชีวิตประจำวัน พอถึงวันที่คลอด นับแต่วันที่คลอดแม่ก็เฝ้าดูแล

เป็นอย่างดี ไม่ให้ มด ยุง แมลงต่าง ๆ มากัดตัวลูก หาอาหารอย่างดีมาให้ทาน

ไม่เคยเอาสิ่งที่ไม่ดีมาให้ลูกกิน มาถึงทุกวันนี้แม่ก็ยังดูแลเราไม่เคยห่างสายตา เพราะแม่ยังกลัวว่า

ลูกจะหลงผิดทำให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม่ไม่คิดที่จะให้ลูกทำในสิ่งทดแทนคุณ เพราะแม่คือคนที่รักลูกที่แท้จริง

เป็นผู้ที่คิดแต่จะให้ลูกโดยไม่คิดสิ่งตอบแทนที่ได้จากลูก แม่เป็นผู้ที่สั่งสอนลูกมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต

แม่สอนแต่สิ่งที่ดี นับเป็นคุณ "ครู" คนแรกของลูก แม่อาจเป็นทั้ง แม่, เพื่อน และครู ในเวลาเดียวกันได้

ในยามที่ลูกทุกข์แม่ก็คอยปลอบ ในยามที่ลูกผิดแม่ก็คอยสอน ตักเตือน ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด

ในยามที่ลูกป่วยไข้ก็มีเพียงแม่เท่านั้นที่เฝ้าดูแลไม่ห่าง ไม่เหมือนคนอื่น

ถ้าเราป่วยเป็นโรคที่สังคมรังเกียจ เพื่อนคนที่เคยบอกว่ารักเรา เขาอาจจะไม่กล้ามาเยี่ยม

เพราะเขากลัวโรคร้ายนั้นจะติดเขา แต่ผุ้เป็นแม่ไม่ว่าโรคนั้นจะร้ายสักเพียงใดก็ไม่คิดที่จะทอดทิ้ง

ให้ลูกอยู่โดดเดี่ยวมีแต่จะเป็นห่วงลูกเพิ่มขึ้น ลูกยิ่งป่วยหรือเจ็บมากขึ้นเท่าใดผู้เป็นแม่ก็ยิ่งร้อนใจ

เพิ่มขึ้นหลายเท่า แม่ยอมขายที่นา สวน ไร่ เพื่อให้ได้เงินมารักษาลูก เงินไม่พอก็ไปขอยืมเขา

แม้ว่าดอกเบี้ยจะแพงขอเพียงเพื่อได้รักษาให้ลูกได้หาย และมีความสุข แม่ทนทุกข์ยากและลำบาก

ในการทำงาน ตากแดดตัวดำเพื่อให้ลูกชาย หญิง ได้เรียนหนังสือมีความรู้สูงๆ เพื่อไม่ต้องลำบาก

เหมือนแม่ แม่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาใช้ในครอบครัว และเงินที่ได้มาจากแรงกายของแม่

ส่วนใหญ่ตกไปอยู่ที่ลูก ไม่ว่าลูกจะขอเท่าไรแม่ก็หามาให้ได้เสมอ ลูกสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลไม่ได้ก็ดิ้นรน

ให้ลูกได้เรียนโรงเรียนเอกชน แม้ค่าเล่าเรียนเป็นหมื่นเป็นแสนก็ยอม เพียงแต่ขอให้ลูกได้เรียน

แม่ก็มีความสุข แต่แม่ไม่เคยรู้เลยว่าลูกมาโรงเรียนแล้วเป็นอย่างไร แม่คิดเพียงว่าลูกไปโรงเรียน

คงตั้งใจเรียน และลูกคงเหนื่อย เมื่อลูกกลับถึงบ้านตอนเย็นแม่จะไม่ให้ลูกทำงานบ้านอีก

แต่ลูกบางคนมาโรงเรียนแล้วไม่ได้ตั้งใจเรียนสักเท่าใดเลย แม่ต้องทนลำบากเพื่อให้ลูกได้เรียน

และเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของแม่เราต้องตั้งใจเรียนให้สมกับที่แม่ตั้งความหวังเอาไว้

อย่าให้แม่ผิดหวัง แม่แนะนำตักเตือนก็ต้องเชื่อฟังเพราะสิ่งที่แม่พูดเป็นสิ่งที่ดีไม่ผิด

ปัจจุบันนี้ไม่ว่าแม่พูดอะไรผมจึงไม่เคยคิดที่จะขัดใจแม่ เพราะผมรู้ดีว่าสิ่งที่แม่แนะนำตักเตือน

เพราะแม่หวังดี ไม่มีแม่คนไหนที่จะคิดร้ายต่อลูก ลูกมีกี่คนแม่สามารถเลี้ยงดูได้เป็นอย่างดี

ฉะนั้นเราผู้เป็นลูกมีแม่เพียงคนเดียวเราต้องดูแลท่านให้เหมือนที่ท่านเคยดูแลเรามา

และหาสิ่งดีๆมาตอบแทนโดยการตั้งใจเรียนเท่านี้แม่ก็ดีใจมากแล้ว ในยามที่แม่แก่ชรา

ผมรู้ดีว่าคนแก่ชราต้องการอยู่ใกล้ลูกๆ หลานๆ ดังนั้นเราก็ต้องเอาใจใส่แม่ของเราให้มากที่สุด

แม่โกหกผม 8 ครั้งในชีวิต

1. เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดในครอบครัวยากจน
ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อย ๆ
เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวม าให้ผมเพิ่มขึ้นอีก
พร้อมทั้งพูดว่า"ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม ่ไม่ค่อยหิว"
นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม
2. เมื่อผมเติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ
เพื่อว่าผมจะได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติ บโตของผม
แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผมกิน
ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆผม แทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาหลังจากที่ผมไ ด้กินเนื้อปลาไปแล้ว
ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่
แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม
3. เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น
แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็ก ๆน้อยจากโรงงานมาทำที่บ้าน
บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่กำลังทำงาน
"แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก"
แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หล ับ"
ครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม
4. ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย
แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจใ ห้ผม
มันเป็นวันที่แดดร้อนมาก ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชม.
เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่
เห็นแม่ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว..
แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม
ผมเห็นแม่รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อ น
แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....แม่ยังไม่กระหายน้ำ"
นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม
5. หลังจากที่พ่อผมล้มป่วยและเสียชีวิต
คุณแม่ที่น่าสงสารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มาจ ุนเจือครอบครัว
แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าคุณแม่จะพยายามมากขึ้นเ พียงไร
คุณลุงที่อยู่ข้าง ๆบ้านท่านเป็นคนดี
พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ....เช่นซ่อมแซมบ้า นที่ผุพัง..ฯลฯ
เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมากก็แนะนำให้แม่แต่งงาน ใหม่
แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับผมว่า
"แม่มีลูกอยู่ทั้งคน...แม่ไม่ต้องความรักอีก"
แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 5 แล้ว
6. ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ
ผมอยากให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง
แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาดทุกเช้า
ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้ง ๆที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่
(ผมต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล)
แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงินกลับคื นให้ผมอีก
แม่พูดกับผมว่า "แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ"
แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 6
7. เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า..
ผม ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่ม ีชื่อเสียงในอเมริกา เมื่อผมเรียนจบก็ได้งานทำที่นั่นและมีเงินเดือนค่อนข้างสูง
เมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมาอยู่กับผมท ี่อเมริกา
เพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิต
แต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน"
ครั้งที่ 7 แล้วซินะที่แม่โกหกผม
8. เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อย ๆ..
ในที่สุดแม่ก็เป็นมะเร็งและต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โ รงพยาบาล
ผมลางานแล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุดที่รักทันที
แม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึง
น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโ ทรมลงอย่างมาก
แม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม....พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก
ผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืน
จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว
ผมโอบกอดแม่พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสาร
หัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด
แม่พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ
"ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ ว"
นี่เป็นครั้งที่ 8 ที่แม่โกหก
และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแม่ที่โกหกผม
แม่ที่ผมรักและบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลงและจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหกครั้งที่ 8 จบลง.........

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มหัศจรรย์แห่งชีวิต… หลักคิด 20 ข้อ จากท่าน ว.วชิรเมธี

๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี ?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี ?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน ?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา ?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี ?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี ?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย ?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม ?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน ?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี ?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี ?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก ?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม ?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบ

วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่

เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้น … มิสค่ะ … ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องนะคะ โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูประจำชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่านัดหมายแค่คุณแม่ท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้

เอ… ใครละเนี่ย จะมีเรื่องอะไรรึปล่าวนะ เมื่อมาถึงห้อง ครูสาวแทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากแต่รูสึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว

อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดหมาย โดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ จึงได้เชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง

… ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาบอกว่าอายพื่อนที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อ ว่า แม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์หรอ อะไรนี่นะคะ เลยไม่ได้มา น้ำเสียงคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ

มิสอุไรพร ขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริง ครูสาวตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่ หากปล่อยเรื่องนี้ไป… จะเป็นตราบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนที่ล้อเพื่อนด้วย

ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพร จึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟัง เรื่องราวที่ว่านั้น ความดังนี้…

วันที่ 21 สิงหาคม 2536 หลังวันแม่ไม่กี่วัน… ครอบครัวหนึ่งเดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล ประกอบด้วย พ่อแม่และลูกชายอีกสามคน พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคัดดินเล็ก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยมีคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังกับลูกชายคนเล็ก

ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำซึ่ง มีใบพัดเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม. คุณพ่อและลูกชายคนโตสองคนข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลุกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่และฉุดขาของลูกทั้ง สองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก ถ้าเป็นพวกคุณ คุณจะทำอย่างไร …

มิส หยุดเรื่องไว้ เพื่อซักถาม มองหน้านักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น

แต่นักเรียนรู้มั้ยว่า คุณแม่ท่านตัดสินใจอย่างไร คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบดึงตัวลูกเอาไว้ แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดไว้ก่อน…

ใบพัดหมุนแขนของคุณแม่เข้าไป … คนงานที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบปิดเครื่องแต่แรงเฉื่อยยังทำให้ใบพัดหมุนด้วย กำลังรง … แรงเสียจนกระชากแขนซ้านคุณแม่ ขาดสะบั้นลง !

คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที ท้องร่องบริเวณนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด … เลือดของแม่ …

ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจน กระดูกหัก แต่ไม่ขาด ไม่ขาดเพราะ… เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน .. ไม่ขาด เพราะแม้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของแม่ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น … ไม่ยอมปล่อย …

คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกน เอะอะโวยวายของคนงาน พร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช๊อกแทบสิ้นสติ … คุณพ่อรีบกระโจนพรวดเดียวถึงตัวแม่และลูกน้อย …

แต่… มันสายเกินไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ รีบพาทั้งสองส่งโรงพยาบาลทันที ผลการรักษา คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนที่ขาดไป ส่วนลูกชายคนเล็ก ที่ขาหักต้องพักฟื้นนานราวสามเดือน จึงสามารถเดินได้ เป็นปกติ

มิสอุไรพร กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วถามว่า นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญไหมคะ เด็ก ๆ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลาย ๆ คนยังหน้าซีดเซียว เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตามที่ครูเล่า

มิส มองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกว่า … นักเรียนทราบไหมว่าคุณแม่ท่านนั้นเป็นคุณแนคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง ไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนั้น ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ… เด็กคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อน ๆ ทั้งห้อง “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้าน มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมาก ๆ”

มิสได้ทราบว่ามีหลาย ๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามี เราลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ

มีนักเรียน 3-4 คน ยืนขึ้น ใบหน้าของแต่ละคนรู้สึกสำนึกผิด แล้วมิสก็ถามว่า ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงมีอะไรอยากจะพูดกับเพื่อนใช่มั๊ยคะ

เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอ แล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอเบ้า ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มใจ

ใครเล่า … จะเข้าใจความเจ็บช้ำ ขมขื่นในหัวใจเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กไม่ทันคิด

หากบัดนี้ … ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อน ๆ ได้สลายปมด้อยในใจของเขาไปจนสิ้น เหลือเพียงความรักและความภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสได้เรียกลูกชายคุณแม่ เข้าไปคุยอีกครั้ง “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่ม้ยคะ” เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นว่า ….

“ผม… ผม จะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว… บอกคุณแม่ว่า ผมรักคุณแม่มากที่สุดในโลกเลยครับ”

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

15 วิธีแก้ "เบื่อ" ก่อนปล่อยให้ปัญหาเรื้อรังทำลายสุขภาพ

เริ่มต้นการทำงานกับเช้าวันจันทร์กันอีกแล้ว หลาย ๆ คนอาจยังไม่พร้อมสำหรับการลุกขึ้นสู้ในวันนี้ รวมถึงอาจมีอาการเบื่อหน่าย อยากนอนพักต่ออีกสักงีบ หรืออีกสักวัน แต่อย่าปล่อยให้ความเบื่อทำร้ายสุขภาพค่ะ เพราะมีการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญจาก University College London ระบุว่า การที่คนเราปล่อยให้ชีวิตน่าเบื่อหน่าย ไม่มีไฟในการทำสิ่งต่าง ๆ นั้นจะดึงคุณให้หันไปหาพฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพตัวเองได้ในที่สุด ยกตัวอย่างเช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เสพยาเสพติด หรือมีปัญหาด้านพฤติกรรม - การเข้าสังคม ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อาจทำให้คุณเสียชีวิตได้ตั้งแต่อายุยังน้อยอีกด้วย

ที่น่าแปลกใจก็คือ ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามที่ตอบโดยกลุ่มอาสาสมัครอายุระหว่าง 35 - 55 ปีจำนวน 7,000 คนในช่วงปี ค.ศ. 1985 - 1988 นั้นพบว่า กลุ่มผู้หญิงเป็นกลุ่มที่มีอาการเบื่อหน่ายในชีวิตสูงสุด

อย่างไรก็ดี มีแนวทางที่ช่วยลดอาการเบื่อลงได้ ซึ่งทางเว็บไซต์ zenhabits.net ได้รวบรวมเอาไว้ 15 ข้อดังนี้

1. หาความท้าทายใหม่ ๆ ให้ชีวิต หลายครั้งที่คนเราเกิดความรู้สึกเบื่อเป็นเพราะชีวิตไม่ได้พบกับความท้าทาย ใด ๆ เลย มีแต่งานรูทีนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คงจะดีหากคุณตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ ให้กับของชีวิตให้ตัวเอง และพยายามพิชิตมันให้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อย ชีวิตคุณก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว

2. มองหางานใหม่ หากวิเคราะห์แล้วว่าสิ่งที่ทำให้คุณเบื่อก็คืองานที่ทำ คุณอาจจำเป็นต้องคิดถึงการโยกย้ายเอาไว้บ้าง ซึ่งคำแนะนำของทางเว็บไซต์ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องยื่นใบลาออกทันที แต่ให้ลองทำลิสต์รายชื่อของบริษัทที่น่าสนใจ-งานที่คุณคิดว่าจะไม่ทำให้คุณ เบื่อ อัปเดตประวัติการทำงาน และลองส่งออกไปก่อนดีกว่าออกมาเดินเตะฝุ่นเล่น ๆ

3. ตั้งเป้าหมายของชีวิต และจดออกมาเป็นข้อ ๆ ถึงสิ่งที่คุณต้องการจะทำให้สำเร็จให้ได้ก่อนที่คุณจะจากโลกนี้ไป ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับงานอย่างเดียว เป็นเรื่องของทัศนคติ มุมมอง หรือความต้องการใด ๆ ก็ได้ แต่หากเคยทำเอาไว้แล้ว ก็ลองหยิบมันขึ้นมาอ่านใหม่อีกสักครั้ง หรือเลือกเป้าหมายชีวิตสักข้อขึ้นมาทำให้สำเร็จในปีนี้

4. เคลียร์โต๊ะทำงาน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับชีวิต และได้ย้ายของที่ไม่จำเป็นออกไปเสียบ้าง หรืออาจใช้เวลานี้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ลองคิดหาวิธีที่จะช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยลง

5. หางานอดิเรกที่ชื่นชอบมาทำ เช่น หาเวลาว่างอ่านหนังสือ เขียนบล็อก เล่นเกม เพื่อหาอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต แต่อย่าให้เบียดบังเวลางานจนกระทั่งถูกเพ่งเล็งจากคนรอบข้าง ควรใช้เวลาว่างก่อนหรือหลังเลิกงานทำงานอดิเรกเหล่านี้จะดีกว่า

6. สมัครคอร์สเรียนพิเศษหาความรู้ให้ตัวเอง ไม่จำเป็นว่าต้องเรียนในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานเสมอไป อาจเป็นการเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มในวันเสาร์ - อาทิตย์ เรียนทำอาหาร เรียนศิลปะ เรียนคอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ได้ที่คุณสนใจ

7. ลาพักผ่อน เขียนใบลาพักร้อนสัก 1 - 2 วัน หนีความเบื่อหน่ายซ้ำซากในชีวิตก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้

8. เดินยืดเส้นยืดสาย

9. ดื่มน้ำเยอะ ๆ

10. โทรศัพท์ - เขียนจดหมายหาคนที่คุณรัก

11. จัดการไฟล์บนคอมพิวเตอร์ให้เป็นระเบียบ

12. เช็คเมลให้หมด หลายคนมีเมลค้างอยู่นับสิบนับร้อยฉบับ ไม่มีเวลาเช็ค ช่วงที่เบื่อ ๆ การเข้าไปเช็คเมลให้หมด ก็อาจได้ข้อมูล - แนวคิดดี ๆ จากเมลเหล่านั้นติดกลับมือออกมาบ้าง

13. วางแผนการเงิน หรือเปลี่ยนวิธีใช้เงินของตัวเอง จากที่เคยใช้หมดไม่เคยเหลือเก็บ ก็ลองมองหารูปแบบการเก็บเงินเหมาะ ๆ ให้กับตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์-อินเทอร์เน็ต ในการช่วยบริหารจัดการรายได้ที่มีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้นได้ด้วย (อย่างไรก็ดี ควรระวังการป้อนข้อมูลบางชนิดลงไปด้วย เช่น เลขบัตรเครดิต หมายเลขบัญชีธนาคาร ฯลฯ เพราะหากมีการรั่วไหลของข้อมูลแล้ว อาจกลายเป็นความสูญเสียทางการเงินได้)

14. อยู่ห่างจากคนหรือสถานการณ์ที่ทำให้เบื่อ แม้ว่าในชีวิตจริง คนเราจะไม่สามารถหลีกหนีคน-สถานการณ์ที่น่าเบื่อไปได้ แต่การไม่นำสิ่งเหล่านั้นมาคิดต่อก็เป็นการสร้างปราการขึึ้นในจิตใจและช่วย ให้คุณมีแรงใจในการทำงานมากขึ้น

15. เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนอื่น เช่น ทำงานเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาล หรือช่วยเลี้ยงเด็กอ่อน ช่วยสอนหนังสือเด็ก ๆ เป็นต้น

ภรรยา 5 อาชีพ...ที่ควรละเว้น

หนุ่มๆ คงต้องคิดหนักแน่ ถ้าคิดจะมีภรรยา 5 อาชีพนี้

* 1. พวกนักกีฬา...เพราะว่าพวกนี้ วันๆ จ้องแต่จะทำลายสถิติ
อยู่บ้านเฉยๆ ก็สะกิดแล้ว..."หมู่นี้สถิติตกไปนะพี่ขา มาทำลายสถิติกันเถอะคะ"

* 2. พวกครู...พวกนี้จะชอบสอนเป็นนิสัย สอนเสร็จก็จะถามว่าเข้าใจไหม
ถ้าตอบว่าเข้าใจ ก็จะให้การบ้านไปทำทั้งที่เหนื่อยจะแย่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหล่อนเป็นครูอนุบาลด้วยแล้ว หล่อนจะ
ชอบพูดว่า..."เก่งมากกกกค่าาาาา....เอาาาอีกกกกก"

* 3. พวกพยาบาลทั้งหลาย....พวกนี้วิตกจริตครับ รักความสะอาด
ชอบถามว่าล้างแล้วหรือยัง ถ้าบอกว่าล้างแล้ว ก็จะถามต่อว่า
แล้วลวกน้ำร้อนแล้วหรือยัง เช็ดแอลกอร์ฮอลล์แล้วหรือยัง...
แล้วคุณจะไปเช็ดไหมหล่ะครับ

* 4. พวกพนักงานโอเปอร์เรเตอร์...เพราะเวลาที่เราต้องการ
หล่อนจะชอบบอกว่า "กรุณารอสักครู่ค่ะ"

* 5. พนักงานแคชเชียร์...พวกนี้ชอบติดป้ายว่า ..."กรุณาใช้ช่องถัดไป"

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อิงค์เจ็ตราคาถูก หมึกแท้หมึกเทียม หมึกเติม ติดแทงค์ แบบไหนดี

เวลามีงานคอมพิวเตอร์ทีไร ผมมักจะเจอคำถามว่า จะซื้อเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตสักตัว เลือกตัวไหนดี เครื่องตัวที่ราคาถูกๆ ที่ไม่เกินสองพัน น่าซื้อดีไหม

จะว่าไปคำถามแบบนี้ ออกจะเป็นคำถามที่กว้าง เพราะสิ่งที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุดก็คือ เราต้องตอบให้ได้ว่าต้องการซื้อเครื่องไปใช้งานแบบไหน ระหว่างการพิพม์งานเอกสารทั่วๆ ไป ที่พิมพ์บ้างเป็นครั้งคราว หรือพิมพ์บ่อยๆ แถมยังต้องใช้สี่สีอีกต่างหาก หรือต้องการพิมพ์ภาพถ่ายสวยๆ ที่ไปถ่ายจากที่ต่างๆ มา

เพราะปริมาณการพิมพ์นั้น จะไปสัมพันธ์กับค่าหมึกที่คุณต้องจ่าย จึงควรจะตรวจสอบราคาหมึกของเครื่องพิมพ์รุ่นที่ต้องการซื้อด้วย ว่ามีราคาเท่าไหร่กันแน่ เพราะยิ่งพิมพ์มากคุณก็ต้องซื้อหมึกบ่อยครั้ง หากว่าตลับหมึกมีราคาสูง ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า เครื่องพิพม์ที่มีราคาสูงกว่า แต่มีค่าตลับหมึกที่ถูกกว่า

ราคาเครื่องอาจจะไม่ได้เป็นตัวชี้วัดสำหรับความคุ้มค่า เพราะหากว่าราคาเครื่องถูก แต่ตลับหมึกมีราคาสูง ก็ย่อมไม่คุ้ม และยิ่งหากพิพม์ได้น้อยก็ยิ่งไม่คุ้มมากขึ้น สำหรับคนที่ต้องการปริมาณการพิมพ์มาก เพราะแค่พิมพ์ไม่กี่ครั้ง ค่าตลับหมึกก็แพงกว่าตัวเครื่องเข้าไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ๆ ที่มีราคาสูงกว่า ก็มีเทคโนโลยีที่ดีกว่าตามไปด้วย

ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ ก็คือเครื่องพิมพ์ราคา 2 พันกว่าๆ แต่ค่าตลับหมึก เฉพาะตลับสี ก็มีราคาไม่ต่ำกว่า 700 บาทเข้าไปแล้ว แถมตลับหมึกดำอีก 500 บาท แถมตลับหมึกสี ก็เป็นตลับแบบรวม ไมได้แยกสีอีกต่างๆ และก็ให้ปริมาณการพิมพ์ที่ไม่เยอะ สำหรับการพิมพ์แบบภาพถ่าย ต่างกับเครื่องราคา 6-7- พัน ที่เป็นตลับแยกสี แม้จะมีราคาตลับต่อสี ประมาณ 500 บาท แต่ก็ได้ประมาณการพิพม์ที่เยอะกว่าพอสมควร แถมยังเป็นเครื่องพิมพ์แบบ 6 สี 8 สี อีกด้วย และลองขยับมาอีกระดับกับเครื่องขนาดใหญ่ราคา หมื่นปลายๆ เราพบว่า ราคาตลับหมึก เหลือเพียง 300 บาท ต่อตลับ เท่านั้นเอง แต่ก็ได้ความสามารถในการพิพม์ A3 มาด้วย ขณะที่ราคาหมึกกลับถูกกว่าแบบแรกตั้งเยอะ

เอาละถ้าจะเพิ่มความคุ้มค่าขึ้นอีกหน่อย ทางเลือกก็คือการซื้อหมึกเทียม ที่ไม่ใช่ยี่ห้อเดียวกับหมึกแท้นั่นเอง ในตลาดก็มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อให้เลือกใช้งาน โดยราคามีตั้งแต่ 50-70 เปอร์เซ็นต์ของราคาหมึกแท้ แต่จะว่าไปหมึกเทียม ก็มีข้อเสีย ตรงที่ความคมชัดของหมึก อาจจะสู้หมึกแท้ไม่ได้ และหากว่าหมึกแท้มีคุณสมบัติกันน้ำ ก็อาจจะไม่พบคุณสมบัตินี้ในหมึกเทียม

หากว่าหมึกเทียมยังแพงไป ก็ยังมีทางเลือกให้อีก คือการซื้อหมึกมาเติมเอง แน่นอนวิธีการนี้ มี่ใช้จ่ายที่ถูกกว่าแน่ๆ เพราะที่มูลค่าที่ต้องจ่ายเท่ากัน อาจจะทำให้เราสามารถพิมพ์เอกสารได้เป็นริมๆ เลยทีเดียว แต่ยิ่งถูก ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อแลกเปลี่ยน เพราะอันดับแรกคุณต้องเติมหมึกเอง ซึ่งทั้งยุ่งยาก เลอะเทอะ และหากเติมไม่ดี ผลก็คือตลับหมึกอันนั้นก็จะเสียไปเลย หรืออีกทางหนึ่งก็คือให้ร้านที่รับเติมหมึกเติมให้ แต่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับค่าเติม และปริมาณหมึกที่ได้

สุดท้าย ก็คือเอาเครื่องไปติดแทงค์เลย อันนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพิมพ์เยอะๆ ซึ่งค่าหมึกนั้นจะถูกมาก แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ชุดแทงค์ และค่าหมึกเริ่มต้น แต่ก็ต้องดูว่ารุ่นที่เราใช้อยู่นั้น สามารถติดแทงค์ได้หรือไม่ ข้อเสียของการติดแทงค์ ก็คือ เราจำเป็นต้องพิมพ์บ่อยๆ เช่น อาจจะพิพม์ทุกวัน วันละแผ่นสองแผ่น แล้วแต่ เพราะว่าไม่งั้นหัวพิมพ์จะอุดตัน แล้วอย่างที่สองก็คือไม่เหมาะสำหรับการพิมพ์ภาพถ่ายเ พราะสีไม่ชัด ไม่คม แถม ยังออกจะซีดจางอีกด้วย และหากว่าเครื่องพิมพ์เกิดปัญหา ก็ห้ามเอาไปซ่อมที่ศูนย์โดยตรง ต้องผ่านทางร้านที่รับติดแทงค์ให้เท่านั้น เพราะศูนย์จะไม่รับประกันเลย

เท่านี้ ก็คงพอจะเลือกได้แล้วนะครับ ว่าคุณจะซื้อเครื่องพิมพ์แบบไหนมาใช้งานดี

ข้อมูลจาก : http://www.arip.co.th

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติความเป็นมาของภาษา PHP

PHP เป็นภาษาจำพวก scripting language คำสั่งต่างๆจะเก็บอยู่ในไฟล์ที่เรียกว่าสคริปต์ (script) และเวลาใช้งานต้องอาศัยตัวแปลชุดคำสั่ง ตัวอย่างของภาษาสคริปก็เช่น JavaScript, Perl เป็นต้น ลักษณะของ PHP ที่แตกต่างจากภาษาสคริปต์แบบอื่นๆ คือ PHP ได้รับการพัฒนาและออกแบบมา เพื่อใช้งานในการสร้างเอกสารแบบ HTML โดยสามารถ สอดแทรกหรือแก้ไขเนื้อหาได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นจึงกล่าวว่า PHP เป็นภาษาที่เรียกว่า server-side หรือ HTML-embedded scripting language เป็นเครื่องมือที่สำคัญชนิดหนึ่ง ที่ช่วยให้เราสามารถสร้างเอกสารแบบ Dynamic HTML ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีลูกเล่นมากขึ้น

ถ้าใครรู้จัก Server Side Include (SSI) ก็จะสามารถเข้าใจการทำงานของ PHP ได้ไม่ยาก สมมุติว่า เราต้องการจะแสดงวันเวลาปัจจุบันที่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซด์ในขณะนั้น ในตำแหน่ง ใดตำแหน่งหนึ่งภายในเอกสาร HTML ที่เราต้องการ อาจจะใช้คำสั่งในรูปแบบนี้ เช่น ไว้ในเอกสาร HTML เมื่อ SSI ของ web server มาพบคำสั่งนี้ ก็จะกระทำคำสั่ง date.pl ซึ่งในกรณีนิ้ เป็นสคริปต์ที่เขียนด้วยภาษา perl สำหรับอ่านเวลาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วใส่ค่าเวลาเป็นเอาพุท (output) และแทนที่คำสั่งดังกล่าว ลงในเอกสาร HTML โดยอัตโนมัติ ก่อนที่จะส่งไปยังผู้อ่านอีกทีหนึ่ง

อาจจะกล่าวได้ว่า PHP ได้รับการพัฒนาขึ้นมา เพื่อแทนที่ SSI รูปแบบเดิมๆ โดยให้มีความสามารถ และมีส่วนเชื่อมต่อกับเครื่องมือชนิดอื่นมากขึ้น เช่น ติดต่อกับคลังข้อมูลหรือ database เป็นต้น

PHP ได้รับการเผยแพร่เป็นครั้งแรกในปีค.ศ.1994 จากนั้นก็มีการพัฒนาต่อมาตามลำดับ เป็นเวอร์ชั่น 1 ในปี 1995 เวอร์ชั่น 2 (ตอนนั้นใช้ชื่อว่า PHP/FI) ในช่วงระหว่าง 1995-1997 และเวอร์ชั่น 3 ช่วง 1997 ถึง 1999 จนถึงเวอร์ชั่น 4 ในปัจจุบัน

PHP เป็นผลงานที่เติบโตมาจากกลุ่มของนักพัฒนาในเชิงเปิดเผยรหัสต้นฉบับ หรือ OpenSource ดังนั้น PHP จึงมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับ Apache Webserver ระบบปฏิบัติอย่างเช่น Linux หรือ FreeBSD เป็นต้น ในปัจจุบัน PHP สามารถใช้ร่วมกับ Web Server หลายๆตัวบนระบบปฏิบัติการอย่างเช่น Windows 95/98/NT เป็นต้น

รายชื่อของนักพัฒนาภาษา PHP ที่เป็นแก่นสำคัญในปัจจุบันมีดังต่อไปนี้

  • Zeev Suraski, Israel
  • Andi Gutmans, Israel
  • Shane Caraveo, Florida USA
  • Stig Bakken, Norway
  • Andrey Zmievski, Nebraska USA
  • Sascha Schumann, Dortmund, Germany
  • Thies C. Arntzen, Hamburg, Germany
  • Jim Winstead, Los Angeles, USA
  • Rasmus Lerdorf, North Carolina, USA

เนื่องจากว่า PHP ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัว Web Server ดังนั้นถ้าจะใช้ PHP ก็จะต้องดูก่อนว่า Web server นั้นสามารถใช้สคริปต์ PHP ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น PHP สามารถใช้ได้กับ Apache WebServer และ Personal Web Server (PWP) สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows 95/98/NT

ในกรณีของ Apache เราสามารถใช้ PHP ได้สองรูปแบบคือ ในลักษณะของ CGI และ Apache Module ความแตกต่างอยู่ตรงที่ว่า ถ้าใช้ PHP เป็นแบบโมดูล PHP จะเป็นส่วนหนึ่งของ Apache หรือเป็นส่วนขยายในการทำงานนั่นเอง ซึ่งจะทำงานได้เร็วกว่าแบบที่เป็น CGI เพราะว่า ถ้าเป็น CGI แล้ว ตัวแปลชุดคำสั่งของ PHP ถือว่าเป็นแค่โปรแกรมภายนอก ซึ่ง Apache จะต้องเรียกขึ้นมาทำงานทุกครั้ง ที่ต้องการใช้ PHP ดังนั้น ถ้ามองในเรื่องของประสิทธิ ภาพในการทำงาน การใช้ PHP แบบที่เป็นโมดูลหนึ่งของ Apache จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า

ต่อไปเราจะมาทำความรู้จักกับภาษา PHP และทำความเข้าใจการทำงาน รวมถึงคำสั่งพื้นฐานต่าง ๆ

“ความลับ” ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอายุยืนที่สุดในโลก!

หลาย คนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ประเทศญี่ปุ่น” เป็นชาติที่มีอายุขัยยืนยาวมากที่สุดในโลก ซึ่งนี่ถือเป็นการครองแชมป์มากกว่า 20 ปีแล้ว โดยมีอายุเฉลี่ยเกิน 100 ปี มากกว่า 20,000 คนเลยทีเดียว

และเมื่อแยกย่อยลงไปในรายละเอียดต่างๆ จะพบว่าสุขภาพร่างกายของคนญี่ปุ่นมีคอเลสเตอรอลต่ำไม่ค่อยเป็นโรคอ้วนกับโรคหัวใจ

นี่ เองที่ทำให้ใครต่อใครต่างอยากรู้คล็ดลับว่าทำไม “คนญี่ปุ่นถึงมีสุขภาพที่ดีได้ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารญี่ปุ่นชาวอังกฤษคนหนึ่ง ได้มีการทำสำรวจเกี่ยวกับอายุขัยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเทียบวิเคราะห์ถึงเหตุผลและปัจจัยอันเกี่ยวกับอายุขัยที่ยืนยาวของคน ญี่ปุ่นว่า

...เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีคอเลสเตอรอลต่ำ?

…เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีอัตราการตายจากโรคหัวใจต่ำ?

…และเพราะอะไรสุขภาพของคนญี่ปุ่นถึงเป็นแบบนี้ได้?


กระทั่งพบ “ความลับ” ว่า “อาหารญี่ปุ่น” คือตัวช่วยเสริมสุขภาพคนญี่ปุ่นให้ไม่มีปัญหาจากโรคภัยที่กล่าวมาได้ทั้งหมด อาหารที่ว่า เช่น ปลาดิบ - ซุปมิโซะ – เต้าหู้ – สาหร่ายคอมบุ (จากน้ำอุ่น) สาหร่ายโนริ (จากน้ำเย็น) เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลต่ำ ปราศจากไขมันอิ่มตัว มีไอโอดีนและแร่ธาตุสูงมาก อีกทั้งยังมีอนุมูลเล็กๆ ที่ช่วยเสริมสุขภาพให้ดี ช่วยให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้นด้วย
และเมื่อเจาะจงข้อมูลลงไปในพื้นที่ประเทศญี่ปุ่น ยังมีสิ่งที่น่าสนใจนั่นคือ พบว่า คน ญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะโอกินาวามาอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวายเฉียบ พลัน โรคมะเร็ง และโรคหัวใจน้อยกว่าส่วนอื่นในพื้นที่ของประเทศญี่ป่นและประเทศอื่นๆ ทั้วโลก

นั่น เพราะชาวโอกานาวามีการบริโภคน้ำตาล 25% เกลือ 20% และรับประทานผักเป็น 3 เท่า รับประทานปลามากกว่าเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีโอเมก้า 3 ที่สำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง เสริมสร้างระบบประสาท ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรเอธิลกลีเซอรอลในพลาสมา ควบคุมระดับไลโปโปรตีน และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหน้าองค์ประกอบของเกล็ดเลือด ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจ โรคไขมันในเส้นเลือดและโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ ยังยับยั้งเซลล์มะเร็ง และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย
"อาหารทะเล" จึงเป็นเสมือนยาอายุวัฒนะหรืออาหารวัคซีน ที่ช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ซึ่งทำให้ชาวโอกานาวามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

ใครว่าปลา ความจำสั้น

ใครว่า "ปลา" มีสมองจิ๊ดเดียว เพียงแค่ไม่กี่วินาทีมันก็ลืมอะไรหมดแล้ว

แต่ที่จริงในการศึกษาหลายๆ ชิ้นพบว่า ปลามีความจำนานหลายเดือน อย่างการศึกษาความทรงจำของ "ปลาทอง" ของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพลีมัธ ประเทศอังกฤษ ที่ประหลาดเมื่อทราบว่า ปลาทองมีการเรียนรู้และมีความทรงจำนาน 3 เดือน ทั้งยังฉลาดกว่า "ปลาเทราต์" ปลาทองของมหาวิทยาลัยพลีมัธ ได้รับการฝึกให้มาที่ยอเพื่อกินอาหาร โดยยอจะทอดตัวลงไปในน้ำทุก 1 ชั่วโมง เมื่อทำเช่นนี้บ่อยๆ ปลาทองจำได้ ว่าใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว มันก็จะว่ายน้ำมาใกล้ๆ ยอ

ส่วนการศึกษาของ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซนต์ แอนดรูว์ส ระบุว่า "ปลามินนาว" ฉลาดพอๆ กับหนู

ที่สถาบันเทคโนโลยีอิสราเอล มีการฝึกให้ "ลูกปลา" มากินอาหารเมื่อได้ยินเสียงเรียกผ่านลำโพง

หลัง จากฝึกได้ประมาณหนึ่งเดือน นักวิจัยปล่อยปลาสู่ท้องทะเลให้พวกมันหากินกันเอง แต่จากนั้น 4-5 เดือนเมื่อมันโตเป็นปลาใหญ่เต็มตัว พอมันได้ยินเสียงเรียก มันก็กลับมากินอาหารเหมือนอย่างที่เคยทำสมัยเป็นลูกปลาน้อย

วิธี การของสถาบันเทคโนโลยีอิสราเอลอาจนำมาปรับใช้ในการทำฟาร์มปลา คือ ฝึกปลาให้มากินอาหารเมื่อได้ยินเสียงเรียกระยะหนึ่ง จากนั้นปล่อยปลาไปให้มันหากินเอง ว่ากันว่า เมื่อมันโตได้ที่พร้อมที่จะนำมาขาย ก็เรียกให้ฝูงปลากลับมา และจับปลานั้นๆ

วิธีการนี้ลดความยุ่งยากในการดูแล ไม่ต้องเสียเงินค่าอาหาร ไม่ต้องทำฟาร์ม ไม่ต้องเสียเงินค่าจ้างคนงาน การที่ปลาอยู่ตามธรรมชาติยังสร้างมลพิษน้อยกว่า เนื้อปลาอร่อยกว่าแบบเลี้ยงในฟาร์ม

"คนส่วนใหญ่มักเห็นว่าปลาทองเป็นปลาโง่ มีความจำแค่ 3 วินาที แต่ความจริง ปลาไม่ได้โง่ไปกว่านกหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกหลายๆ ชนิด มันรู้จักทางน้ำที่วนไปวนมา รู้จัก ปลาอื่น" ดร.ไมก์ เวบสเตอร์ จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ส กล่าว