วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

15 วิธีแก้ "เบื่อ" ก่อนปล่อยให้ปัญหาเรื้อรังทำลายสุขภาพ

เริ่มต้นการทำงานกับเช้าวันจันทร์กันอีกแล้ว หลาย ๆ คนอาจยังไม่พร้อมสำหรับการลุกขึ้นสู้ในวันนี้ รวมถึงอาจมีอาการเบื่อหน่าย อยากนอนพักต่ออีกสักงีบ หรืออีกสักวัน แต่อย่าปล่อยให้ความเบื่อทำร้ายสุขภาพค่ะ เพราะมีการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญจาก University College London ระบุว่า การที่คนเราปล่อยให้ชีวิตน่าเบื่อหน่าย ไม่มีไฟในการทำสิ่งต่าง ๆ นั้นจะดึงคุณให้หันไปหาพฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพตัวเองได้ในที่สุด ยกตัวอย่างเช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เสพยาเสพติด หรือมีปัญหาด้านพฤติกรรม - การเข้าสังคม ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อาจทำให้คุณเสียชีวิตได้ตั้งแต่อายุยังน้อยอีกด้วย

ที่น่าแปลกใจก็คือ ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามที่ตอบโดยกลุ่มอาสาสมัครอายุระหว่าง 35 - 55 ปีจำนวน 7,000 คนในช่วงปี ค.ศ. 1985 - 1988 นั้นพบว่า กลุ่มผู้หญิงเป็นกลุ่มที่มีอาการเบื่อหน่ายในชีวิตสูงสุด

อย่างไรก็ดี มีแนวทางที่ช่วยลดอาการเบื่อลงได้ ซึ่งทางเว็บไซต์ zenhabits.net ได้รวบรวมเอาไว้ 15 ข้อดังนี้

1. หาความท้าทายใหม่ ๆ ให้ชีวิต หลายครั้งที่คนเราเกิดความรู้สึกเบื่อเป็นเพราะชีวิตไม่ได้พบกับความท้าทาย ใด ๆ เลย มีแต่งานรูทีนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คงจะดีหากคุณตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ ให้กับของชีวิตให้ตัวเอง และพยายามพิชิตมันให้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อย ชีวิตคุณก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว

2. มองหางานใหม่ หากวิเคราะห์แล้วว่าสิ่งที่ทำให้คุณเบื่อก็คืองานที่ทำ คุณอาจจำเป็นต้องคิดถึงการโยกย้ายเอาไว้บ้าง ซึ่งคำแนะนำของทางเว็บไซต์ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องยื่นใบลาออกทันที แต่ให้ลองทำลิสต์รายชื่อของบริษัทที่น่าสนใจ-งานที่คุณคิดว่าจะไม่ทำให้คุณ เบื่อ อัปเดตประวัติการทำงาน และลองส่งออกไปก่อนดีกว่าออกมาเดินเตะฝุ่นเล่น ๆ

3. ตั้งเป้าหมายของชีวิต และจดออกมาเป็นข้อ ๆ ถึงสิ่งที่คุณต้องการจะทำให้สำเร็จให้ได้ก่อนที่คุณจะจากโลกนี้ไป ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับงานอย่างเดียว เป็นเรื่องของทัศนคติ มุมมอง หรือความต้องการใด ๆ ก็ได้ แต่หากเคยทำเอาไว้แล้ว ก็ลองหยิบมันขึ้นมาอ่านใหม่อีกสักครั้ง หรือเลือกเป้าหมายชีวิตสักข้อขึ้นมาทำให้สำเร็จในปีนี้

4. เคลียร์โต๊ะทำงาน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับชีวิต และได้ย้ายของที่ไม่จำเป็นออกไปเสียบ้าง หรืออาจใช้เวลานี้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ลองคิดหาวิธีที่จะช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยลง

5. หางานอดิเรกที่ชื่นชอบมาทำ เช่น หาเวลาว่างอ่านหนังสือ เขียนบล็อก เล่นเกม เพื่อหาอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต แต่อย่าให้เบียดบังเวลางานจนกระทั่งถูกเพ่งเล็งจากคนรอบข้าง ควรใช้เวลาว่างก่อนหรือหลังเลิกงานทำงานอดิเรกเหล่านี้จะดีกว่า

6. สมัครคอร์สเรียนพิเศษหาความรู้ให้ตัวเอง ไม่จำเป็นว่าต้องเรียนในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานเสมอไป อาจเป็นการเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มในวันเสาร์ - อาทิตย์ เรียนทำอาหาร เรียนศิลปะ เรียนคอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ได้ที่คุณสนใจ

7. ลาพักผ่อน เขียนใบลาพักร้อนสัก 1 - 2 วัน หนีความเบื่อหน่ายซ้ำซากในชีวิตก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้

8. เดินยืดเส้นยืดสาย

9. ดื่มน้ำเยอะ ๆ

10. โทรศัพท์ - เขียนจดหมายหาคนที่คุณรัก

11. จัดการไฟล์บนคอมพิวเตอร์ให้เป็นระเบียบ

12. เช็คเมลให้หมด หลายคนมีเมลค้างอยู่นับสิบนับร้อยฉบับ ไม่มีเวลาเช็ค ช่วงที่เบื่อ ๆ การเข้าไปเช็คเมลให้หมด ก็อาจได้ข้อมูล - แนวคิดดี ๆ จากเมลเหล่านั้นติดกลับมือออกมาบ้าง

13. วางแผนการเงิน หรือเปลี่ยนวิธีใช้เงินของตัวเอง จากที่เคยใช้หมดไม่เคยเหลือเก็บ ก็ลองมองหารูปแบบการเก็บเงินเหมาะ ๆ ให้กับตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์-อินเทอร์เน็ต ในการช่วยบริหารจัดการรายได้ที่มีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้นได้ด้วย (อย่างไรก็ดี ควรระวังการป้อนข้อมูลบางชนิดลงไปด้วย เช่น เลขบัตรเครดิต หมายเลขบัญชีธนาคาร ฯลฯ เพราะหากมีการรั่วไหลของข้อมูลแล้ว อาจกลายเป็นความสูญเสียทางการเงินได้)

14. อยู่ห่างจากคนหรือสถานการณ์ที่ทำให้เบื่อ แม้ว่าในชีวิตจริง คนเราจะไม่สามารถหลีกหนีคน-สถานการณ์ที่น่าเบื่อไปได้ แต่การไม่นำสิ่งเหล่านั้นมาคิดต่อก็เป็นการสร้างปราการขึึ้นในจิตใจและช่วย ให้คุณมีแรงใจในการทำงานมากขึ้น

15. เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนอื่น เช่น ทำงานเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาล หรือช่วยเลี้ยงเด็กอ่อน ช่วยสอนหนังสือเด็ก ๆ เป็นต้น

ภรรยา 5 อาชีพ...ที่ควรละเว้น

หนุ่มๆ คงต้องคิดหนักแน่ ถ้าคิดจะมีภรรยา 5 อาชีพนี้

* 1. พวกนักกีฬา...เพราะว่าพวกนี้ วันๆ จ้องแต่จะทำลายสถิติ
อยู่บ้านเฉยๆ ก็สะกิดแล้ว..."หมู่นี้สถิติตกไปนะพี่ขา มาทำลายสถิติกันเถอะคะ"

* 2. พวกครู...พวกนี้จะชอบสอนเป็นนิสัย สอนเสร็จก็จะถามว่าเข้าใจไหม
ถ้าตอบว่าเข้าใจ ก็จะให้การบ้านไปทำทั้งที่เหนื่อยจะแย่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหล่อนเป็นครูอนุบาลด้วยแล้ว หล่อนจะ
ชอบพูดว่า..."เก่งมากกกกค่าาาาา....เอาาาอีกกกกก"

* 3. พวกพยาบาลทั้งหลาย....พวกนี้วิตกจริตครับ รักความสะอาด
ชอบถามว่าล้างแล้วหรือยัง ถ้าบอกว่าล้างแล้ว ก็จะถามต่อว่า
แล้วลวกน้ำร้อนแล้วหรือยัง เช็ดแอลกอร์ฮอลล์แล้วหรือยัง...
แล้วคุณจะไปเช็ดไหมหล่ะครับ

* 4. พวกพนักงานโอเปอร์เรเตอร์...เพราะเวลาที่เราต้องการ
หล่อนจะชอบบอกว่า "กรุณารอสักครู่ค่ะ"

* 5. พนักงานแคชเชียร์...พวกนี้ชอบติดป้ายว่า ..."กรุณาใช้ช่องถัดไป"

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อิงค์เจ็ตราคาถูก หมึกแท้หมึกเทียม หมึกเติม ติดแทงค์ แบบไหนดี

เวลามีงานคอมพิวเตอร์ทีไร ผมมักจะเจอคำถามว่า จะซื้อเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตสักตัว เลือกตัวไหนดี เครื่องตัวที่ราคาถูกๆ ที่ไม่เกินสองพัน น่าซื้อดีไหม

จะว่าไปคำถามแบบนี้ ออกจะเป็นคำถามที่กว้าง เพราะสิ่งที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุดก็คือ เราต้องตอบให้ได้ว่าต้องการซื้อเครื่องไปใช้งานแบบไหน ระหว่างการพิพม์งานเอกสารทั่วๆ ไป ที่พิมพ์บ้างเป็นครั้งคราว หรือพิมพ์บ่อยๆ แถมยังต้องใช้สี่สีอีกต่างหาก หรือต้องการพิมพ์ภาพถ่ายสวยๆ ที่ไปถ่ายจากที่ต่างๆ มา

เพราะปริมาณการพิมพ์นั้น จะไปสัมพันธ์กับค่าหมึกที่คุณต้องจ่าย จึงควรจะตรวจสอบราคาหมึกของเครื่องพิมพ์รุ่นที่ต้องการซื้อด้วย ว่ามีราคาเท่าไหร่กันแน่ เพราะยิ่งพิมพ์มากคุณก็ต้องซื้อหมึกบ่อยครั้ง หากว่าตลับหมึกมีราคาสูง ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า เครื่องพิพม์ที่มีราคาสูงกว่า แต่มีค่าตลับหมึกที่ถูกกว่า

ราคาเครื่องอาจจะไม่ได้เป็นตัวชี้วัดสำหรับความคุ้มค่า เพราะหากว่าราคาเครื่องถูก แต่ตลับหมึกมีราคาสูง ก็ย่อมไม่คุ้ม และยิ่งหากพิพม์ได้น้อยก็ยิ่งไม่คุ้มมากขึ้น สำหรับคนที่ต้องการปริมาณการพิมพ์มาก เพราะแค่พิมพ์ไม่กี่ครั้ง ค่าตลับหมึกก็แพงกว่าตัวเครื่องเข้าไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ๆ ที่มีราคาสูงกว่า ก็มีเทคโนโลยีที่ดีกว่าตามไปด้วย

ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ ก็คือเครื่องพิมพ์ราคา 2 พันกว่าๆ แต่ค่าตลับหมึก เฉพาะตลับสี ก็มีราคาไม่ต่ำกว่า 700 บาทเข้าไปแล้ว แถมตลับหมึกดำอีก 500 บาท แถมตลับหมึกสี ก็เป็นตลับแบบรวม ไมได้แยกสีอีกต่างๆ และก็ให้ปริมาณการพิมพ์ที่ไม่เยอะ สำหรับการพิมพ์แบบภาพถ่าย ต่างกับเครื่องราคา 6-7- พัน ที่เป็นตลับแยกสี แม้จะมีราคาตลับต่อสี ประมาณ 500 บาท แต่ก็ได้ประมาณการพิพม์ที่เยอะกว่าพอสมควร แถมยังเป็นเครื่องพิมพ์แบบ 6 สี 8 สี อีกด้วย และลองขยับมาอีกระดับกับเครื่องขนาดใหญ่ราคา หมื่นปลายๆ เราพบว่า ราคาตลับหมึก เหลือเพียง 300 บาท ต่อตลับ เท่านั้นเอง แต่ก็ได้ความสามารถในการพิพม์ A3 มาด้วย ขณะที่ราคาหมึกกลับถูกกว่าแบบแรกตั้งเยอะ

เอาละถ้าจะเพิ่มความคุ้มค่าขึ้นอีกหน่อย ทางเลือกก็คือการซื้อหมึกเทียม ที่ไม่ใช่ยี่ห้อเดียวกับหมึกแท้นั่นเอง ในตลาดก็มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อให้เลือกใช้งาน โดยราคามีตั้งแต่ 50-70 เปอร์เซ็นต์ของราคาหมึกแท้ แต่จะว่าไปหมึกเทียม ก็มีข้อเสีย ตรงที่ความคมชัดของหมึก อาจจะสู้หมึกแท้ไม่ได้ และหากว่าหมึกแท้มีคุณสมบัติกันน้ำ ก็อาจจะไม่พบคุณสมบัตินี้ในหมึกเทียม

หากว่าหมึกเทียมยังแพงไป ก็ยังมีทางเลือกให้อีก คือการซื้อหมึกมาเติมเอง แน่นอนวิธีการนี้ มี่ใช้จ่ายที่ถูกกว่าแน่ๆ เพราะที่มูลค่าที่ต้องจ่ายเท่ากัน อาจจะทำให้เราสามารถพิมพ์เอกสารได้เป็นริมๆ เลยทีเดียว แต่ยิ่งถูก ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อแลกเปลี่ยน เพราะอันดับแรกคุณต้องเติมหมึกเอง ซึ่งทั้งยุ่งยาก เลอะเทอะ และหากเติมไม่ดี ผลก็คือตลับหมึกอันนั้นก็จะเสียไปเลย หรืออีกทางหนึ่งก็คือให้ร้านที่รับเติมหมึกเติมให้ แต่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับค่าเติม และปริมาณหมึกที่ได้

สุดท้าย ก็คือเอาเครื่องไปติดแทงค์เลย อันนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพิมพ์เยอะๆ ซึ่งค่าหมึกนั้นจะถูกมาก แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ชุดแทงค์ และค่าหมึกเริ่มต้น แต่ก็ต้องดูว่ารุ่นที่เราใช้อยู่นั้น สามารถติดแทงค์ได้หรือไม่ ข้อเสียของการติดแทงค์ ก็คือ เราจำเป็นต้องพิมพ์บ่อยๆ เช่น อาจจะพิพม์ทุกวัน วันละแผ่นสองแผ่น แล้วแต่ เพราะว่าไม่งั้นหัวพิมพ์จะอุดตัน แล้วอย่างที่สองก็คือไม่เหมาะสำหรับการพิมพ์ภาพถ่ายเ พราะสีไม่ชัด ไม่คม แถม ยังออกจะซีดจางอีกด้วย และหากว่าเครื่องพิมพ์เกิดปัญหา ก็ห้ามเอาไปซ่อมที่ศูนย์โดยตรง ต้องผ่านทางร้านที่รับติดแทงค์ให้เท่านั้น เพราะศูนย์จะไม่รับประกันเลย

เท่านี้ ก็คงพอจะเลือกได้แล้วนะครับ ว่าคุณจะซื้อเครื่องพิมพ์แบบไหนมาใช้งานดี

ข้อมูลจาก : http://www.arip.co.th

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติความเป็นมาของภาษา PHP

PHP เป็นภาษาจำพวก scripting language คำสั่งต่างๆจะเก็บอยู่ในไฟล์ที่เรียกว่าสคริปต์ (script) และเวลาใช้งานต้องอาศัยตัวแปลชุดคำสั่ง ตัวอย่างของภาษาสคริปก็เช่น JavaScript, Perl เป็นต้น ลักษณะของ PHP ที่แตกต่างจากภาษาสคริปต์แบบอื่นๆ คือ PHP ได้รับการพัฒนาและออกแบบมา เพื่อใช้งานในการสร้างเอกสารแบบ HTML โดยสามารถ สอดแทรกหรือแก้ไขเนื้อหาได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นจึงกล่าวว่า PHP เป็นภาษาที่เรียกว่า server-side หรือ HTML-embedded scripting language เป็นเครื่องมือที่สำคัญชนิดหนึ่ง ที่ช่วยให้เราสามารถสร้างเอกสารแบบ Dynamic HTML ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีลูกเล่นมากขึ้น

ถ้าใครรู้จัก Server Side Include (SSI) ก็จะสามารถเข้าใจการทำงานของ PHP ได้ไม่ยาก สมมุติว่า เราต้องการจะแสดงวันเวลาปัจจุบันที่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซด์ในขณะนั้น ในตำแหน่ง ใดตำแหน่งหนึ่งภายในเอกสาร HTML ที่เราต้องการ อาจจะใช้คำสั่งในรูปแบบนี้ เช่น ไว้ในเอกสาร HTML เมื่อ SSI ของ web server มาพบคำสั่งนี้ ก็จะกระทำคำสั่ง date.pl ซึ่งในกรณีนิ้ เป็นสคริปต์ที่เขียนด้วยภาษา perl สำหรับอ่านเวลาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วใส่ค่าเวลาเป็นเอาพุท (output) และแทนที่คำสั่งดังกล่าว ลงในเอกสาร HTML โดยอัตโนมัติ ก่อนที่จะส่งไปยังผู้อ่านอีกทีหนึ่ง

อาจจะกล่าวได้ว่า PHP ได้รับการพัฒนาขึ้นมา เพื่อแทนที่ SSI รูปแบบเดิมๆ โดยให้มีความสามารถ และมีส่วนเชื่อมต่อกับเครื่องมือชนิดอื่นมากขึ้น เช่น ติดต่อกับคลังข้อมูลหรือ database เป็นต้น

PHP ได้รับการเผยแพร่เป็นครั้งแรกในปีค.ศ.1994 จากนั้นก็มีการพัฒนาต่อมาตามลำดับ เป็นเวอร์ชั่น 1 ในปี 1995 เวอร์ชั่น 2 (ตอนนั้นใช้ชื่อว่า PHP/FI) ในช่วงระหว่าง 1995-1997 และเวอร์ชั่น 3 ช่วง 1997 ถึง 1999 จนถึงเวอร์ชั่น 4 ในปัจจุบัน

PHP เป็นผลงานที่เติบโตมาจากกลุ่มของนักพัฒนาในเชิงเปิดเผยรหัสต้นฉบับ หรือ OpenSource ดังนั้น PHP จึงมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับ Apache Webserver ระบบปฏิบัติอย่างเช่น Linux หรือ FreeBSD เป็นต้น ในปัจจุบัน PHP สามารถใช้ร่วมกับ Web Server หลายๆตัวบนระบบปฏิบัติการอย่างเช่น Windows 95/98/NT เป็นต้น

รายชื่อของนักพัฒนาภาษา PHP ที่เป็นแก่นสำคัญในปัจจุบันมีดังต่อไปนี้

  • Zeev Suraski, Israel
  • Andi Gutmans, Israel
  • Shane Caraveo, Florida USA
  • Stig Bakken, Norway
  • Andrey Zmievski, Nebraska USA
  • Sascha Schumann, Dortmund, Germany
  • Thies C. Arntzen, Hamburg, Germany
  • Jim Winstead, Los Angeles, USA
  • Rasmus Lerdorf, North Carolina, USA

เนื่องจากว่า PHP ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัว Web Server ดังนั้นถ้าจะใช้ PHP ก็จะต้องดูก่อนว่า Web server นั้นสามารถใช้สคริปต์ PHP ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น PHP สามารถใช้ได้กับ Apache WebServer และ Personal Web Server (PWP) สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows 95/98/NT

ในกรณีของ Apache เราสามารถใช้ PHP ได้สองรูปแบบคือ ในลักษณะของ CGI และ Apache Module ความแตกต่างอยู่ตรงที่ว่า ถ้าใช้ PHP เป็นแบบโมดูล PHP จะเป็นส่วนหนึ่งของ Apache หรือเป็นส่วนขยายในการทำงานนั่นเอง ซึ่งจะทำงานได้เร็วกว่าแบบที่เป็น CGI เพราะว่า ถ้าเป็น CGI แล้ว ตัวแปลชุดคำสั่งของ PHP ถือว่าเป็นแค่โปรแกรมภายนอก ซึ่ง Apache จะต้องเรียกขึ้นมาทำงานทุกครั้ง ที่ต้องการใช้ PHP ดังนั้น ถ้ามองในเรื่องของประสิทธิ ภาพในการทำงาน การใช้ PHP แบบที่เป็นโมดูลหนึ่งของ Apache จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า

ต่อไปเราจะมาทำความรู้จักกับภาษา PHP และทำความเข้าใจการทำงาน รวมถึงคำสั่งพื้นฐานต่าง ๆ

“ความลับ” ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอายุยืนที่สุดในโลก!

หลาย คนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ประเทศญี่ปุ่น” เป็นชาติที่มีอายุขัยยืนยาวมากที่สุดในโลก ซึ่งนี่ถือเป็นการครองแชมป์มากกว่า 20 ปีแล้ว โดยมีอายุเฉลี่ยเกิน 100 ปี มากกว่า 20,000 คนเลยทีเดียว

และเมื่อแยกย่อยลงไปในรายละเอียดต่างๆ จะพบว่าสุขภาพร่างกายของคนญี่ปุ่นมีคอเลสเตอรอลต่ำไม่ค่อยเป็นโรคอ้วนกับโรคหัวใจ

นี่ เองที่ทำให้ใครต่อใครต่างอยากรู้คล็ดลับว่าทำไม “คนญี่ปุ่นถึงมีสุขภาพที่ดีได้ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารญี่ปุ่นชาวอังกฤษคนหนึ่ง ได้มีการทำสำรวจเกี่ยวกับอายุขัยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเทียบวิเคราะห์ถึงเหตุผลและปัจจัยอันเกี่ยวกับอายุขัยที่ยืนยาวของคน ญี่ปุ่นว่า

...เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีคอเลสเตอรอลต่ำ?

…เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีอัตราการตายจากโรคหัวใจต่ำ?

…และเพราะอะไรสุขภาพของคนญี่ปุ่นถึงเป็นแบบนี้ได้?


กระทั่งพบ “ความลับ” ว่า “อาหารญี่ปุ่น” คือตัวช่วยเสริมสุขภาพคนญี่ปุ่นให้ไม่มีปัญหาจากโรคภัยที่กล่าวมาได้ทั้งหมด อาหารที่ว่า เช่น ปลาดิบ - ซุปมิโซะ – เต้าหู้ – สาหร่ายคอมบุ (จากน้ำอุ่น) สาหร่ายโนริ (จากน้ำเย็น) เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลต่ำ ปราศจากไขมันอิ่มตัว มีไอโอดีนและแร่ธาตุสูงมาก อีกทั้งยังมีอนุมูลเล็กๆ ที่ช่วยเสริมสุขภาพให้ดี ช่วยให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้นด้วย
และเมื่อเจาะจงข้อมูลลงไปในพื้นที่ประเทศญี่ปุ่น ยังมีสิ่งที่น่าสนใจนั่นคือ พบว่า คน ญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะโอกินาวามาอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวายเฉียบ พลัน โรคมะเร็ง และโรคหัวใจน้อยกว่าส่วนอื่นในพื้นที่ของประเทศญี่ป่นและประเทศอื่นๆ ทั้วโลก

นั่น เพราะชาวโอกานาวามีการบริโภคน้ำตาล 25% เกลือ 20% และรับประทานผักเป็น 3 เท่า รับประทานปลามากกว่าเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีโอเมก้า 3 ที่สำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง เสริมสร้างระบบประสาท ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรเอธิลกลีเซอรอลในพลาสมา ควบคุมระดับไลโปโปรตีน และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหน้าองค์ประกอบของเกล็ดเลือด ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจ โรคไขมันในเส้นเลือดและโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ ยังยับยั้งเซลล์มะเร็ง และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย
"อาหารทะเล" จึงเป็นเสมือนยาอายุวัฒนะหรืออาหารวัคซีน ที่ช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ซึ่งทำให้ชาวโอกานาวามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

ใครว่าปลา ความจำสั้น

ใครว่า "ปลา" มีสมองจิ๊ดเดียว เพียงแค่ไม่กี่วินาทีมันก็ลืมอะไรหมดแล้ว

แต่ที่จริงในการศึกษาหลายๆ ชิ้นพบว่า ปลามีความจำนานหลายเดือน อย่างการศึกษาความทรงจำของ "ปลาทอง" ของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพลีมัธ ประเทศอังกฤษ ที่ประหลาดเมื่อทราบว่า ปลาทองมีการเรียนรู้และมีความทรงจำนาน 3 เดือน ทั้งยังฉลาดกว่า "ปลาเทราต์" ปลาทองของมหาวิทยาลัยพลีมัธ ได้รับการฝึกให้มาที่ยอเพื่อกินอาหาร โดยยอจะทอดตัวลงไปในน้ำทุก 1 ชั่วโมง เมื่อทำเช่นนี้บ่อยๆ ปลาทองจำได้ ว่าใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว มันก็จะว่ายน้ำมาใกล้ๆ ยอ

ส่วนการศึกษาของ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซนต์ แอนดรูว์ส ระบุว่า "ปลามินนาว" ฉลาดพอๆ กับหนู

ที่สถาบันเทคโนโลยีอิสราเอล มีการฝึกให้ "ลูกปลา" มากินอาหารเมื่อได้ยินเสียงเรียกผ่านลำโพง

หลัง จากฝึกได้ประมาณหนึ่งเดือน นักวิจัยปล่อยปลาสู่ท้องทะเลให้พวกมันหากินกันเอง แต่จากนั้น 4-5 เดือนเมื่อมันโตเป็นปลาใหญ่เต็มตัว พอมันได้ยินเสียงเรียก มันก็กลับมากินอาหารเหมือนอย่างที่เคยทำสมัยเป็นลูกปลาน้อย

วิธี การของสถาบันเทคโนโลยีอิสราเอลอาจนำมาปรับใช้ในการทำฟาร์มปลา คือ ฝึกปลาให้มากินอาหารเมื่อได้ยินเสียงเรียกระยะหนึ่ง จากนั้นปล่อยปลาไปให้มันหากินเอง ว่ากันว่า เมื่อมันโตได้ที่พร้อมที่จะนำมาขาย ก็เรียกให้ฝูงปลากลับมา และจับปลานั้นๆ

วิธีการนี้ลดความยุ่งยากในการดูแล ไม่ต้องเสียเงินค่าอาหาร ไม่ต้องทำฟาร์ม ไม่ต้องเสียเงินค่าจ้างคนงาน การที่ปลาอยู่ตามธรรมชาติยังสร้างมลพิษน้อยกว่า เนื้อปลาอร่อยกว่าแบบเลี้ยงในฟาร์ม

"คนส่วนใหญ่มักเห็นว่าปลาทองเป็นปลาโง่ มีความจำแค่ 3 วินาที แต่ความจริง ปลาไม่ได้โง่ไปกว่านกหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกหลายๆ ชนิด มันรู้จักทางน้ำที่วนไปวนมา รู้จัก ปลาอื่น" ดร.ไมก์ เวบสเตอร์ จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ส กล่าว